ที่เที่ยวกระบี่ 3 วัน 2 คืน แบบไม่ต้องเช่ารถ
วันนี้แอดเอมขออนุญาตพาเพื่อน ๆ ไปทริปดี ๆ นั่งชิวริมทะเลเย็น ๆ ที่อ่าวนาง จังหวัดกระบี่ ในแบบที่การันตีว่าเพื่อน ๆ ต้องชอบใจ ไม่ว่าจะเป็นธรรมชาติที่กลับฟื้นตัวและสวยงามอีกครั้ง รวมทั้งแหล่งของกินฟินได้แบบไม่แพง เที่ยวแบบไม่ต้องเช่ารถ ไปแต่ตัว หัวใจ และสิ่งของเครื่องใช้จำเป็นจ้า
สารบัญรีวิวทริปกระบี่
Plan เที่ยวกระบี่ครั้งนี้
วันแรก
- เดินทางจากสนามบินดอนเมืองไปจังหวัดกระบี่
- เช็คอินโรงแรม Centara Ao Nang Beach Resort & Spa Krabi
- หาดไร่เลย์
- Summer Fresh Cafe
- ถ้ำพระนาง
- Tiew Lay Bar
- มื้อเย็นที่อ่าวนาง Walking Street
วันที่สอง
- ทัวร์หนึ่งวันที่เกาะลาดิง เกาะผักเบี้ย เกาะห้อง
- ถ่ายรูปพระอาทิตย์ตกดินที่อ่าวนาง
- มื้อเย็นที่โรงแรม
วันที่สาม
- ชิว ๆ ที่โรงแรม Centara Ao Nang Beach Resort & Spa Krabi
- The Bright Side Cafe
- Sun Cafe
- เดินทางกลับกรุงเทพด้วยสายการบิน AirAsia
ค่าใช้จ่ายทริปกระบี่ (ราคาเริ่มต้น)
- ตั๋วเครื่องบินไปกลับกรุงเทพกระบี่ airasia 2,865 บาท
- ที่พักคืนละ 2,800 x 2 คืน = 5,600 บาท
- ค่าเรือหางยาวไร่เลย์ไปกลับสำหรับ 2 คืน = 400 บาท
- ค่าทัวร์เกาะห้องคนละ 1,200 = 2,400 บาท
รวมค่าใช้จ่ายเริ่มต้นสำหรับ 3 วัน 2 คืนอยู่ที่ = 11,265 บาท (ราคานี้รวมอาหารเช้า แต่ไม่รวมอาหารเที่ยง อาหารเย็น และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ นะครับ)
วันแรก
สำหรับการเดินทางทริปนี้ เราบินกับสายการบิน airasia สายการบินที่ปลอดภัยด้านสุขอนามัย ตรงต่อเวลา และมีเที่ยวบินเยอะที่สุดครับ และยิ่งในช่วงเวลาที่ Covid 19 ยังแพร่กระจายอยู่แบบนี้เชื่อว่าเพื่อน ๆ ยังกังวลเมื่อเดินทางด้วยด้วยขนส่งสาธารณะ แต่เดินทางกับ airasia ปลอดภัยไว้ใจได้
นอกจากนี้ airasia เขาก็มีบริการเสริมพิเศษด้วยการจองเลือกที่นั่งมุมส่วนตัว ที่นั่งติดกัน ที่นั่งกว้างกว่า เลือกโซนได้ ยิ่งถ้าเลือกโซนแถวหน้า ได้มุมหน้าต่างได้มองวิวสวยสวย แถมยังได้ขึ้นลงเครื่องก่อนอีกด้วย ซึ่งเอมและพี่สาวก็ได้ใช้บริการนี้เช่นกันจ้า
เนื่องจากเอมได้ใช้บริการ Hot Seat จึงได้นั่งอยู่ริมหน้าต่างบริเวณปีกและที่นั่งฉุกเฉินซึ่งกว้างขวาง ยืดขาสบาย ซึ่งพอได้เวลาพี่แอร์ใจดีก็จะมาอธิบายข้อปฎิบัติต่าง ๆ ก่อนจะนำเครื่องขึ้นบิน พอเครื่องขึ้นปุ๊บ เอมก็หลับปั๊บรู้สึกตัวอีกทีก็มาอยู่ที่สนามบินกระบี่แล้ว
หลังจากรับกระเป๋าสัมภาระเสร็จแล้ว พวกเราก็เดินออกมาพบกับพี่ ๆ จากโรงแรม Centara Ao Nang Beach Resort & Spa Krabi ที่เตรียมพาเราเดินทางจากสนามบินไปเช็คอินกับหนนึ่งในโรงแรมที่เอมอยากแนะนำให้มาพักสักครั้งเมื่อมาเที่ยวที่อ่าวนาง จังหวัดกระบี่ จากสนามบินกระบี่ เราใช้เวลาบนท้องถนนประมาณ 35 – 45 นาทีก็จะเดินทางมาถึงที่โรงแรมครับ
Centara Ao Nang Beach Resort & Spa Krabi
Centara Ao Nang Beach Resort & Spa Krabi (เซ็นทารา อ่าวนาง บีช รีสอร์ตและสปา กระบี่) ตั้งอยู่บนชายหาดอ่าวนางที่โอบล้อมไปด้วยหน้าผาหินปูนซึ่งเป็นหนึ่งใน Signature ของจังหวัดกระบี่เลยครับ โรงแรมแห่งนี้ผสมผสานที่พักสไตล์ร่วมสมัยเข้ากับชายทะเลของประเทศเขตร้อนได้เป็นอย่างดี แถมที่ตั้งก็ค่อนข้างเป็นส่วนตัว เงียบสงบไม่วุ่นวาย แต่ในขณะเดียวกันก็สามารถเดินเลียบชายหาดไปที่ Walking Street ที่อ่าวนางได้ไม่เกิน 5 – 10 นาทีครับ
พวกเราเอาสัมภาระเข้าที่พัก ล้างหน้าล้างตาพักหนึ่งก่อนจะรีบไปจองตั๋วเรือหางยาวบริเวณหน้าหาดอ่าวนางเพื่อเดินทางไปท่องเที่ยวที่ถ้ำพระนาง และชายหาดไร่เลย์โดยจะมีค่าบริการตกที่คนละ 100 บาทต่อรอบต่อเที่ยว (เรือหางยาวก็เริ่มออกเดินทางเมื่อมีผู้โดยสารครบ 8 คน หากเพื่อน ๆ รีบหรืออยากบริการเรือหางยาวแบบส่วนตัวก็เหมาลำไปที่ราคา 800 บาทได้เช่นเดียวกันครับ)
การเดินทางของเรือหางยาวจากฝั่งอ่าวนางมาถึงหาดไร่เลย์ใช้เวลาประมาณ 20 นาที ระหว่างนั้นเพื่อน ๆ ก็สามารถซึมซับบรรยากาศไอทะเล นั่งมองฟองละอองน้ำ มองทัศนียภาพสวย ๆ เพียงครู่เดียวก็มาถึงที่หาดไร่เลย์แล้วครับ
หาดไร่เลย์
หาดไร่เลย์ เป็นคาบสมุทรขนาดเล็กระหว่างเมืองกระบี่และตำบลอ่าวนาง จังหวัดกระบี่ จากการที่ไม่ได้มาเที่ยวหลายปี เอมรู้สึกว่าสถานที่แห่งนี้สวยขึ้นเยอะมาก ๆ เลยครับ หาดทรายสะอาดขึ้น น้ำทะเลใสสะท้อนแสงระยิบระยับมากขึ้น ซึ่งพี่ ๆ ที่อุทยานเล่าให้เราฟังว่าสภาพของหาดไร่เลย์ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเนื่องจากธรรมชาติได้พักฟื้นฟูตัวเอง และนักท่องเที่ยวก็ยังไม่ได้หนาแน่นเมื่อก่อน ใครมาเที่ยวช่วงนี้เรียกได้ว่าได้กำไรมาก ๆ เลยล่ะ
พื้นที่ของไร่เลย์ประกอบไปด้วยพื้นที่ 4 ส่วนหลัก ๆ ได้แก่ พระนาง ไร่เลย์ตะวันตก ไร่เลย์ตะวันออกและต้นไทร ซึ่งแต่ละแห่งจะมีความสวยงามและเอกลักษณ์ที่แตกต่างกันไป แต่ต้องใช้ระยะเวลาเดินไปสำรวจพอสมควรเลยครับ เอมขอแนะนำให้เพื่อน ๆ พกขวดน้ำไปด้วยสักขวด (อย่าลืมรับผิดชอบเรื่องความสะอาดด้วยนะ) ส่วนใครไม่ได้พกไปแบบเราก็สามารถไปใช้บริการร้านอาหาร หรือคาเฟ่บนเกาะได้นะครับ
Summer Fresh
อากาศร้อน ๆ แบบนี้เอมจะพาเพื่อน ๆ มาเพิ่มพลังคาเฟอีนกันก่อนออกเดินสำรวจหาดไร่เลย์กันที่ Summer Fresh คาเฟ่สีขาวน่ารัก ๆ ที่ตั้งอยู่ในโซน Walking Street ครับ บริเวณนี้ที่มีร้านค้า ร้านอาหารต่าง ๆ ตั้งอยู่มากมาย (ส่วนใหญ่จะเริ่มเปิดให้บริการตอนเที่ยงเป็นต้นไปนะครับ) พอพี่ ๆ เห็นเราเป็นคนไทย ก็รีบมาชวนคุยใหญ่เลยล่ะ นอกจากเราจะรู้สึกอบอุ่นที่มีคนดูแลยามมาเยือนบ้านเมืองเขาแล้ว พี่ ๆ เขาก็ดีใจที่มีคนไทยกลับมาเที่ยวเป็นกำลังใจให้พวกเขาเช่นเดียวกันนะ พวกเราพูดคุยกับเจ้าของร้านสักพักก่อนจะออกเดินทางท่องเที่ยวกันต่อครับ
เสน่ห์ของเกาะไร่เลย์และระหว่างทางเท้าที่เดินสู่ถ้ำพระนางนั้นก็คือหน้าผาหินปูนสลับป่าทึบใหญ่ ๆ ที่นอกจากจะบ่งบอกถึงความอุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติแล้ว ยังมีมุมถ่ายรูปน่ารัก ๆ ให้เราแวะพักเก็บภาพความประทับใจไปตลอดทาง ซึ่งเราก็อยากให้ทุกคนที่มาเยี่ยมเยียนสถานที่แห่งนี้ช่วยกันรักษาความสะอาด ไม่ขีดเขียน หลีกเลี่ยงการจับต้องโดยไม่จำเป็นเพื่อคงสภาพของธรรมชาติไว้ให้มากที่สุด อ่ะ โม้นานไปหน่อย เอมจะบอกทุกคนว่า เรามาถึงถ้ำพระนางแล้วล่ะ
ถ้ำพระนาง
ถ้ำพระนางเป็นหนึ่งในไฮไลท์ของการท่องเที่ยวกระบี่ครับ ชาวบ้านเชื่อว่าบริเวณนี้เป็นที่สิงสถิตย์ของพระนางผู้คอยปกปักรักษาชาวประมงและพี่น้องที่อาศัยอยู่ที่นี่ ภายในถ้ำจะเป็นโพรงที่มีหินย้อยห้อยเป็นระย้าลงมา ช่วงกลางวันจะคราคร่ำไปด้วยนักท่องเที่ยวมากมาย ส่วนเพื่อนของเราเล่าว่าช่วงเย็นนั้นก็สวยงามมาก ๆ เช่นกัน
นอกเหนือจากบริเวณถ้ำแล้ว ชายหาดบริเวณนี้ยังสามารถเล่นน้ำได้แถมยังมีเขาหินปูนต่างสำหรับเพื่อน ๆ ที่หลงรักในกิจกรรมปีนเขา เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ตอบโจทย์การท่องเที่ยวทุก Lifestyle จริง ๆ และหลังจากเก็บภาพจนหนำใจแล้ว พวกเราก็เตรียมตัวเดินเท้าสู่จุดหมายต่อไปซึ่งได้แก่ Tiew Lay Bar คาเฟ่ริมทะเลกับจุดถ่ายรูปเก๋ ๆ ที่กำลังได้รับความนิยมครับ
Tiew Lay Bar
คาเฟ่ริมทะเลที่กำลังฮิต Tiew Lay Bar หรือ ทิวเลย์บาร์ เป็นทั้งบาร์และคาเฟ่ที่ตั้งอยู่สุดขอบหาดไร่เลย์และคนล่ะฝั่งกับถ้ำพระนางครับ ที่นี่มีโซนที่นั่งหลายแบบ ทั้งบีนแบ็คนุ่ม ๆ ในมุมสบาย ๆ มีแคร่ไม้ มีชิงช้าให้ไกวเล่นชิว ๆ หรือจะเอาหนังสือมาหนังอ่านฆ่าเวลาเอมก็ว่าเหมาะ พวกเรานั่งพักที่นี่สักครู่จนบ่ายแก่ ๆ ก็เดินทางกลับเพื่อไปหาอะไรกินบริเวณเมืองอ่าวนางครับ
ร้านฮาซียะ ฮาลาลฟู้ด
ร้านฮาซียะ ฮาลาลฟู้ดเป็นร้านอาหารของฮาลาลของพี่น้องมุสลิมที่อาศัยอยู่ในชุมชนอ่าวนางแห่งนี้ครับ ส่วนสาเหตุที่เราแนะนำร้านนี้ก็เพราะราคาไม่แพงเลยแถมรสชาติใช้ได้ด้วย
ยกตัวอย่างอาหารที่เอ็มทานกับพี่สาวก็ง่าย ๆ ยกตัวอย่างเช่นข้าวผัดเนื้อ ผัดกะเพราปลาหมึกและส้มตำปูปลาร้า ตกอยู่ที่ราคาจานละ 60 – 70 บาทเองนะครับ ซึ่งทางร้านก็ให้ปริมาณมาเยอะมาก ๆ แถมรสชาติก็ดี และทำให้เรารู้ว่าที่กระบี่ไม่ได้มีแต่ร้านอาหารแพง ๆ เสมอไปจะเที่ยวแบบไหนไม่ว่าจะ Budget Trip หรือ Luxury Trip ที่กระบี่ก็มีจัดให้เพื่อน ๆ เลยครับ และหลังจากทานข้าวเสร็จแล้ว เอมกับพี่สาวก็กลับมาพักเพื่อเตรียมตัวไปตะลุ One Day Trip เกาะห้อง เกาะผักเบี้ย และเกาะลาดิงในวันต่อไปจ้า
วันที่สอง
มาเริ่มเช้าวันที่สองกันเลยครับ วันนี้เป็นวันที่เอมและพี่สาวจะไปตะลุย One Day Trip ที่เกาะห้อง เกาะพักเบี้ย และเกาะลาดิงภายใต้การดูแลของบริษัท Phi Phi Tours ทริปของเราเริ่มต้นโดยรถของบริษัททัวร์เขาจะมารับที่โรงแรมเวลาประมาณ 8:50 นาฬิกาครับ
หลังจากขึ้นรถแล้วก็จะใช้เวลาไม่ถึง 20 นาทีเพื่อมาที่ท่าเรือของบริษัท โดยที่ท่าเรือก็จะมีขนมนมเนย ห้องน้ำห้องท่าไว้ให้บริการในขณะที่รอเพื่อน ๆ มากันครบ หลังจากนั้นพี่ ๆ ทีมงานก็จะบรีฟถึงเป้าหมายปลายทาง รายละเอียด ข้อกำหนดและปฎิบัติต่าง ๆ ให้ทุกคนรับรู้เพื่อความปลอดภัยทั้งต่อตนเอง เพื่อนร่วมทริปและเพื่ออนุรักษ์ธรรมชาติของกระบี่ก่อนจะนำขึ้นเรือ speed boat ลำใหญ่ นั่งสบายเพื่อออกเดินทางสู่เกาะลาดิงครับ
เกาะลาดิง
เป้าหมายแรกของ One Day Trip ของเราอยู่ที่เกาะลาดิงครับ เกาะลาดิงเป็นเกาะเล็ก ๆ ที่มีผู้คนอาศัยอยู่จริงที่มีอาชีพเก็บรังนกครับ ลักษณะของเกาะลาดิงจะเป็นภูผา มีป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์ มีชายหาดไม่กว้างมาก เดินไม่นานนักก็จะเดินได้ทั่วเกาะแล้วครับ เราจะใช้เวลาที่นี่ประมาณ 45 นาทีก่อนไปต่อกันที่เกาะผักเบี้ยเพื่อรับประทานอาหารกลางวันและนั่งพักสักเล็กน้อยครับ
เกาะผักเบี้ย
เกาะผักเบี้ยเป็นเกาะที่ตั้งอยู่ทางด้านหลังของเกาะห้อง น้ำทะเลโซนนี้จะใสสะอาดครับเหมาะสำหรับการมาเล่นน้ำและนอนอาบแดดมาก ๆ หากเรามาในช่วงน้ำลงก็จะพบสันทรายที่แยกทะเลออกเป็นสองฝั่งด้วยนะ เราจะใช้เวลาอยู่ที่นี่เพื่อรับประทานอาหารกลางวันที่ทางทัวร์จัดเตรียมมาให้ (ข้าวกะเพราไข่ดาวจุก ๆ) ก่อนจะนั่งย่อยสักพัก เก็บภาพความประทับใจสวย ๆ ก่อนออกเดินทางสู่ main destination ของเราที่เกาะห้องนั่นเองจ้า
เกาะห้อง
เกาะห้อง เป็นเกาะที่ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติธารโบกขรณี จังหวัดกระบี่ มีชื่อเรียกน่ารัก ๆ อีกอย่างว่าเกาะเหลาบิเละ เป็นเกาะที่สวยงามมาก มีจุดชมวิวที่เผยวิวทะเลกระบี่แบบ 360 องศา มีหาดทรายละเอียด ขาว นุ่ม และใส และชายหาดน้ำตื๊นจึงสามารถไปเที่ยวได้ทั้งปี และในทุกฤดู จองแอร์เอเชียบินมาฟิน ๆ แบบเราได้ตลอดเวลาเลยล่ะ
ไม่พูดพร่ำทำเพลงนาน เอมกับพี่สาวก็ขอทดสอบความแข็งแกร่งด้วยการเดินขึ้นไปจุดชมวิวของเกาะห้องซึ่งจะต้องเดินขึ้นบันไดเลาะหน้าผ้าไปประมาณสี่ร้อยกว่าขั้นภายใต้แดดจ้าของกระบี่ ณ เวลาบ่ายโมงตรง ณ จุด ๆ นี้ขอบอกก่อนว่าเพื่อน ๆ ควรตรวจสอบความแข็งแรงของสุขภาพของตัวเอง และอย่าลืมพกน้ำเย็น ๆ ขึ้นไปด้วยนะ หากไม่พร้อมอย่างไร นั่งชิวอยู่ข้างล่างเพื่อความปลอดภัยยังไงหรือไม่ก็ค่อย ๆ เดินขึ้นไปไม่ต้องรีบ
การเดินขึ้นไปจุดชมวิวด้านบนจะใช้เวลาประมาณ 10 – 15 นาที ซึ่งเขาจะมีจุดแวะพักที่เป็นระยะ ๆ และบนยอดสุดนั้นจะเป็นพื้นที่โล่งกว้างแบบที่เห็นทัศนียภาพรอบตัว 360 องศา ภาพภูเขาหินปูนคล้าย ๆ หลอดจุ่มลงไปในน้ำทะเลสีเขียวมรกต ภาพเรือหางยาวที่กลับมาวิ่งแล่นบนผืนน้ำทะเลกระบี่อีกครั้งทำให้พวกเราและเพื่อน ๆ ที่ขึ้นมาด้านบนหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งเลยล่ะครับ
หลังจากชมวิวสวย ๆ เรียบร้อยแล้วก็กลับมาปล่อยตัวนั่งพักริมหาดทราย ถ่ายรูปเล่นเบา ๆ บนเกาะห้องนี้มีร้านค้าสวัสดิการ มีคาเฟ่เล็ก ๆ มีร้านอาหาร ใครหิว ใครยังไม่อิ่ม ใครร้อน ใครเหนื่อย ใครเมื่อย บนเกาะห้องมีทุกอย่างดูแลเพื่อน ๆ แน่นอนไม่ต้องกังวลไปครับ พวกเราจะโบกมือลาจากเกาะห้องเวลาบ่ายสามกว่า ๆ เพื่อกลับมาที่ท่าเรือและหลังจากนั้นรถตู้ของบริษัททัวร์ก็จะทยอยมาส่งนักท่องเที่ยวตามโรงแรมครับ
เอมและพี่สาวกลับมาอาบน้ำอาบท่า แล้วก็ออกมาถ่ายรูปกับยามเย็นที่อ่าวนาง แม้ว่าวันนี้ฟ้าไม่ได้เปิดสักเท่าไร แต่ภาพพระอาทิตย์ตกที่นี่ก็ยังสวยประทับใจไม่แพ้ใครเหมือนกันนะ ภาพทะเลสีส้มทอง ภาพผืนทราย ภาพรอยยิ้มและความสุขของผู้คนที่เดินผ่านไปมาก็เป็นอะไรที่เติมเต็มทริปนี้ได้อย่างลงตัว
ถ่ายภาพเสร็จปุ๊บ พวกเราก็กลับมาประทานอาหารเย็นกันครับ มื้อเย็นวันนี้มี Seafood Platter เป็นอาหารทะเลอาทิกุ้ง ปลาหมึก ปูหอย ย่างร้อน ๆ เสิร์ฟพร้อมกับน้ำจิ้มสุดแซ่บสามรสซึ่งก็คือน้ำจิ้มซีฟู้ด น้ำจิ้มบาร์บีคิวและน้ำจิ้มแจ่วครับ มาทะเลก็ต้องทานอาหารทะเลใช่ไหมครับ แถมอาหารทะเลที่กระบี่ก็สดมาก ปลาหมึกย่างกรอบเด้ง กุ้งเนื้อแน่นและปูที่หวานฉ่ำ อร่อยจนอยากจะกินให้หมดยันเปลือกเป็นคืนสุดท้ายก่อนบอกล่ากระบี่ที่ดีมาก
วันที่สามวันสุดท้าย
เช้าวันสุดท้ายแต่ยังไม่ท้ายสุด ก่อนกลับเอมจะพาเพื่อน ๆ ไปเดินเล่น Walking Street ที่อ่าวนางกันนิดนึงนะครับ ซึ่งหากเราเดินออกจากโรงแรมมาแล้วเดินเลียบหาดไปทางขวาไม่ถึง 5 นาที เราก็จะสามารถเดินเลาะถนนเลียบฝั่งทะเลไปได้เรื่อย ๆ ซึ่งบริเวณนี้ก็จะมีร้านค้าทั้งคาเฟ่ ทั้งร้านขายเสื้อผ้าต่าง ๆ ซึ่งราคาก็ปกติเลยล่ะครับ ซึ่งเอมจะพาเพื่อน ๆ ไปชิมขนมกับกาแฟร้าน The Bright Side และก็ Sun Cafe ครับ
The Bright Side และ Sun Cafe
คาเฟ่สีขาวสไตล์บาหลีที่ขายอาหารแนว Western หากเพื่อน ๆ ที่ชอบพวก Pasta ใด ๆ ที่นีก็มีบริการนะครับ ส่วนวันนี้เอมจัดชีสเค้กหน้าไหม้ Egg Cheese Sandwich กับคาปูชิโน่เย็นมาจัดสักหน่อย ซึ่งใครเป็นสายมังสวิรัติที่นี่ก็มีอาหารสำหรับสาVegan บริการด้วยจ้า แล้วความน่ารักของร้านค้าบริเวณนี้คือเราสามารถซื้อของร้านหนึ่งแล้วก็ไปนั่งอีกร้านหนึ่งได้ พี่ ๆ เขาสนับสนุนช่วยกันค้า ช่วยกันขายน่ารักมาก ๆ เลยล่ะ
และสุดท้ายบ่ายกว่า ๆ ก็ได้เวลาเดินทางกลับสนามบินซึ่งขากลับนี้เราก็ใช้บริการเสริมพิเศษด้วยการจองเลือกที่นั่งมุมส่วนตัวและที่นั่งติดกันกับพี่สาวซึ่งก็นั่งสบาย นั่งปลอดภัย นั่งไม่ใกล้ใคร ขึ้นปุ๊บหลับปั๊บก่อนคนอื่นด้วยบริการ airasia แสนฟินจนต้องขอแนะนำให้เพื่อน ๆ ลองใช้บริการตามเลย ลองดูนะ ๆ
สรุป ทริปกระบี่ 3 วัน 2 คืน
การมากระบี่ครั้งนี้ทั้งเปลี่ยนความคิดและเพิ่มเติมประสบการณ์ใหม่ ๆ ให้เอมมากพอสมควรเลยครับ ธรรมชาติของกระบี่ที่สวยงามขึ้นมาก ๆ สินค้าอุปโภคที่ราคาปกติ คาเฟ่น่ารัก ๆ รวมถึงมิตรไมตรีจากพี่น้องท้องถิ่นที่ปรับตัวและดูแลพวกเราเป็นอย่างดี เติมเต็มทริปกระบี่ครั้งนี้ให้เพอร์เฟ็คแบบสิบดาวเต็ม จนเอมขอแนะนำว่าเพื่อน ๆ ต้องลองมาสักครั้งแล้วจะประทับใจจนอยากกลับมาใหม่แบบเอมแน่ ๆ เลยครับ
2 thoughts on “ที่เที่ยวกระบี่ 3 วัน 2 คืน ตะลุย 4 เกาะแบบไม่ต้องเช่ารถ”
ต้องไปให้ได้เลย กระบี่ยังมีอีกหลายจุดเลยที่ยังไม่ได้ไป👍👍👍
อ่านเพลินมากครับ มีรายละเอียดลงให้เยอะจิงๆ ไว้ขอตามลายแทงเลยนะคับ😁